วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2562

Great Wall of China

5. กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) : จีน
กำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นจีนสมัยสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกล และเติร์กในอดีต และหลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาจนได้ชื่อว่า กำแพงหมื่นลี้ 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนนี้ ถูกสร้างขึ้นโดย จิ๋นซีฮ่องเต้ โดยทอดตัวไปตามป่าเขา หุบเหว และแม่นำคล้ายกับพญามังกรยักษ์ ตัวกำแพงสูงจากพื้นดิน 20-30 ฟุต หนา 15-20 ฟุต  บนกำแพงมีทางเดินกว้าง 10 ฟุต และทุกระยะ 300 ฟุต จะมีป้อมกับเชิงเทินอยู่ประมาณกว่า 15,000 แห่ง ใช้เวลาก่อสร้างไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อมามีการสร้างต่อเติมอีกหลายครั้ง ใช้แรงงานที่เกณฑ์มาจากทั่วประเทศนับล้านคน 
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน และกล่าวว่า “ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่”
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กำแพงเมืองจีน
ความยิ่งใหญ่ และประวัติศาสตร์อันยาวนานนี่เอง ทำให้กำแพงเมืองจีนนอกจากจะเป็น 1 ใน 7 มหัศจรรย์ของโลกแล้ว ยังเป็น 1 ในมรดกโลก ที่องค์กร UNESCO คัดเลือกอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

The Great Pyramid of Giza

HOMEPAGE
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ The Great Pyramid of Giza
พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
___________________________________________________________________________________________

วิธีการสร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า

วิธีการยกแท่งหินขนาดใหญ่หนักหลายสิบตัน เพื่อประกอบขึ้นเป็นพีระมิดอย่างแม่นยำยังเป็นปริศนา โครงสร้างเหนือห้องเก็บโลงพระศพ ในพีระมิดคีออปส์ ประกอบขึ้นด้วย แท่งหินแกรนิตสีแดงขนาดใหญ่หลายสิบแท่งซ้อนทับกัน 5 ชั้น แต่ละแท่งมีน้ำหนัก 50 ถึง 70 เมตริกตัน แท่งหินขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในหมู่พีระมิดกิซ่าอยู่ภายในวิหารข้างพีระมิดเมนคีเรเป็นแท่งหินปูนที่มีน้ำหนักมากถึง 200 เมตริกตัน เป็นน้ำหนักประมาณเท่ากับชิ้นส่วนหนักที่สุดภายในเรือไททานิค ซึ่งไม่มีปั้นจั่นใดๆ ในอู่ต่อเรือขณะนั้นสามารถยกได้ จนผู้สร้างเรือต้องว่าจ้างทีมงาน ชาวเยอรมัน มาสร้างปั้นจั่นยักษ์สำหรับยกชิ้นส่วนดังกล่าว
เฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งเดินทางไปอียิปต์ช่วง 450 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2 พันปีเศษหลังจากพีระมิดสร้างเสร็จ ได้บันทึกคำบอกเล่าของนักบวชชาวอียิปต์โบราณไว้ว่า ในการสร้างพีระมิดชาวอียิปต์โบราณมีอุปกรณ์บางอย่างทำด้วยไม้ใช้สำหรับยกหินขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่พบหลักฐานอื่นๆ ที่อ้างอิงถึงเครื่องมือนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือบันทึกโบราณ เฮโรโดตัสยังได้บันทึกไว้ว่าการก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ทำเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลากซึ่งประชากรว่างจากการเพาะปลูก นั่นคือ ประมาณปีละ 3 – 4 เดือน และก่อสร้างอยู่ 20 ปี จึงแล้วเสร็จ
เนื่องจากเทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่นไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน และไม่มีหลักฐานการใช้พาหนะที่ลากด้วยแรงสัตว์ การเคลื่อนย้ายหินจึงใช้แรงงานคนลากเข็นไปบนแคร่ไม้ โดยมีการราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน การเคลื่อนย้ายวัตถุน้ำหนักมากๆ ด้วยวิธีนี้มีหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำบนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อย
วิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการก่อสร้างคืออีกส่วนหนึ่งที่เป็นปริศนา แนวคิดแรกเริ่มเชื่อกันว่าชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีสร้างทางลาดบริเวณด้านข้างของพีระมิด และชักลากหินขึ้นตามทางลาดที่ก่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของระดับการก่อสร้างจนถึงจุดสูงสุดยอด และเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจึงทำการรื้อทางลาดดังกล่าวออกคงเหลือไว้แต่ พีระมิด ที่สร้างเสร็จ ถ้าแนวคิดนี้เป็นจริงสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นอาจไม่ใช่พีระมิดคูฟู แต่อาจเป็นทางลาดสูงเท่าตึก 40 ชั้นที่ใช้ก่อสร้างพีระมิดแทน มีแนวคิดอื่นๆ เสนอว่าทางลาดดังกล่าวอาจไม่ได้สร้างอยู่ด้านใดด้านหนึ่งข้างพีระมิด แต่อาจสร้างเป็นทางวนรอบพีระมิดแทน หรืออาจบางทีแต่ละชั้นของพีระมิดนั่นเองคือทางที่ใช้ชักลากหินขึ้นสู่ชั้นถัดไป ผ่านทางลาดขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างแต่ละชั้น
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปถึงวิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้าง แต่การประกอบหินแต่ละก้อนสามารถสรุปได้ว่าผ่านการตัดแต่งแบบก้อนต่อก้อน เนื่องจากแต่ละก้อนต้องมีขนาดและแง่มุมพอดีกับหินก้อนอื่นๆที่จัดเรียงไว้ก่อนหน้า เพราะในการก่อสร้างพีระมิดไม่มีการใช้วัสดุเชื่อมประสาน หินแต่ละก้อนวางซ้อนกันอยู่ได้ด้วยน้ำหนักกดทับด้านบน และระนาบที่เท่ากันในแต่ละชั้นจึงต้องตัดแต่งอย่างปราณีตแบบก้อนต่อก้อนก่อนประกอบเข้าสู่ตำแหน่ง
ด้วยเครื่องมือง่ายๆ อย่างไม้วัดระดับแนวราบ และสายดิ่งที่ใช้ตรวจสอบผิวหน้าหินในแนวตั้ง โดยใช้ลิ่มหินควอตซ์ (Quartz) ซึ่งเป็นหินอัคนีความแข็งสูงในการขัดแต่งผิวหน้าของหินแต่ละด้านให้เรียบ ช่างหินอียิปต์โบราณสามารถสร้างผลงานดีเยี่ยม จนผิวสัมผัสระหว่างหินแต่ละก้อนห่างกันเพียง 0.02 นิ้วเท่านั้น
ควรทราบอีกว่า ณ เวลานั้นโลกยังไม่เข้าสู่ ยุคเหล็ก โดยที่เทคโนโลยีการตีเหล็กยังไม่ถูกพัฒนาขึ้นจนกว่าอีก 1 พันปีต่อมา เครื่องมือโลหะที่มีใช้ในสมัยนั้นทำด้วย ทองแดง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการตัดหินปูนและหินแกรนิตให้ได้ขนาดและรูปทรงตามต้องการ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยียุคโบราณเชื่อว่า ช่างอียิปต์โบราณใช้ แท่งโลหะพันด้วยเชือก เพื่อหมุนปั่นแท่งโลหะเจาะรูลึกในก้อนหินโดยมีการโรยผงทรายลงในรูที่เจาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือ
___________________________________________________________________________________________

นิยามของมหาพีระมิดแห่งเมืองกิช่า

เคยมีการกล่าวเอาไว้ว่าการสร้างพีระมิดแห่งเมืองอียิปต์นั้นอาจจะไม่ใช่ ฝีมือของมนุษย์ในสมัยของอียิปต์โบราณ แต่อาจจะเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติส ที่ได้สร้างเอาไว้ (ดูจากบทความ “แอตแลนติส“) ทำให้มีหลายแนวความคิดที่แสดงให้เห็นว่าปิรามิดได้ถูกสร้างขึ้นโดยมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโลก ดังจะเห็นได้จากคำนิยามของคำว่า “ปิรามิด” จากนักปราชญ์หลายท่าน เช่น อาร์คิเมดิส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกได้ให้นิยามของ “ปิรามิด” ดังนี้
ผลรวมระยะทั้ง 4 ด้านของฐานหารด้วย 2 เท่าความสูง = 3.1416 (ค่าไพ = 3.14159 26535 89793 23846 26433 83279 50288 41971 69399 37510)ค่าการวัดเป็นนิ้ว (Pyramidal Inch) สามารถคำนวณออกมาเป็นขนาดใกล้เคียงกับขนาดของโลกเช่น 50 นิ้วปิรามิด = 1 ใน 10 ล้านของแกนขั้วโลกผลรวมของด้านฐาน = จำนวนวันใน 1 ปี ซึ่งก็คือ 365.240สองเท่าของความสูงปิรามิด เมื่อคูณด้วย 10 ล้าน = ความยาวระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยประมาณ1 นิ้วปิรามิด คูณด้วย 10 ล้าน = ค่าใกล้เคียงกับระยะทางของวงจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ค่าแตกต่างเพียงเล็กน้อย อธิบายได้ว่าความกว้างวงโคจรตอนที่สร้างกับตอนนี้แตกต่างกัน)น้ำหนักของปิรามิดประมาณ 6 แสนตัน คูณด้วย 100,000,000,000,000 = น้ำหนักของโลกโดยประมาณ
reference : https://7thingspacial.wordpress.com/7%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84/1-%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B2/

Colosseum

HOMEPAGE
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ colosseum
โคลอสเซียม(Colosseum) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นสนามกีฬากลางแจ้งโบราณขนาดใหญ่ยักษ์ ใจกลางเมือง ที่นอกจากจะเคยเป็นสนามประลองอันทรงเกียรติที่โหดเหี้ยมแล้ว  ยังได้รับการคัดเลือกจากองค์กร New 7 Wonders ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย
สนามกีฬาโบราณขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซี่ยนแห่งจักวรรดิโรมัน  และได้สร้างแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดิไททัสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือราวๆ ปี ค.ศ. 80 โดยมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมที่ก่อด้วยอิฐและหินทรายที่มีเส้นรอบวงประมาณ 527 เมตร สูงประมาณ 57 เมตร และสามารถบรรจุคนได้มากถึงประมาณ 50,000 คนเลยทีเดียว
สำหรับการออกแบบ Colosseum แห่งนี้นั้นจัดได้ว่าได้รับการออกแบบที่ชาญฉลาดมาก  โดยได้มีการออกแบบให้ผู้ชมได้รู้สึดใกล้ชิดกับนักกีฬาด้วยการออกแบบในส่วนของสนามกีฬาให้เป็นรูปครึ่งวงกลม  นอกจากนั้นยังมีการออกแบบทางระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันน้ำขังในสนามหากเกิดฝนตกอันเป็นต้นแบบของการออกแบบสนามกีฬาอื่นๆ ในปัจจุบันอีกด้วย
Colosseum นี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรมในปัจจุบันแล้ว ในอดีตก็จัดได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยโรมันเลยทีเดียว โดยเริ่มแรกนั้นวัตถุประสงค์สำหรับการใช้งานคือสร้างขึ้นสำหรับการประลองฝีมือของเหล่ากลาดิเอเตอร์ หรือการประลองของกษัตริย์ใหม่ที่ต้องการแสดงฝีมือและอำนาจ  รวมไปถึงการที่รักโทษที่รอวันประหารชีวิตหรือนักโทษที่ถูกคุมขังขอประลองเพื่อแลกกับอิสรภาพ โดยการประลองนั้นก็มีทั้งประลองกับกลาดิเอเตอร์ผู้แข็งแกร่ง จนไปถึงการประลองกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายต่างๆ ซึ่งช่วงหนึ่งที่การประลองเป็นที่นิยมของผู้เข้าชมจนทำให้สัตว์บางชนิดจากหลายๆ ประเทศเกือบสูญพันธ์กันเลยที่เดียว โดยการประลองนั้นผู้ชนะนอกจากจะได้รับอิสรภาพแล้วยังได้รับชื่อเสียงและทรัพย์สินมากมายตามมาอีกด้วย  และผลจากการขอประลองเพื่อเรียกร้องอิสระภาพนั้นจึงได้ลามไปถึงการเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาประลองเพื่อยกระดับฐานะด้วย เป็นการประลองที่จะชี้ชะตาชีวิตว่าหากเอาชนะได้ก็เหมือนได้พลิกชีวิตให้มั่งคั่งและมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ถ้าแพ้นั่นอาจหมายถึงการไม่มีชีวิตรอดกันเลยทีเดียว  เนื่องจากเคยเป็นสนามประลองมาก่อน Colosseum แห่งนี้จึงมีบริเวณใต้ดินที่มีห้องคุมขังนักโทษหลายร้อยห้องและยังมีกรงสำหรับใช้ขังสัตว์ป่าดุร้ายที่ไว้ใช้สำหรับการประลองการต่อสู้หลายร้อยกรงที่บริเวณชั้นใต้ดินอีกด้วย
แม้ว่าในอดีตนั้น โคลอสเซียมแห่งนี้จะถูกใช้เป็นสนามประลองมือ เป็นสังเวียนเลือดที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม ไปจนถึงลานประหารชีวิตแต่ในปัจจุบันนั้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านโทษประหารชีวิต โดย Colosseum จะมีไฟสีเหลืองส่องสว่างทุกครั้งเมื่อมีการกลับการตัดสินหรือยกเลิกโทษประหารชีวิตจากที่ใดของโลกก็ตาม และในปี 2007 จากผลของการลงคะแนนทั่วโลกจากทั้งทางอินเตอร์เน็ตและมือถือนั้น ทำให้ Colosseum แห่งนี้ได้รับการคัดเลือกจากองค์กร New 7 Wonders ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย
Reference : https://travel.mthai.com/world-travel/64882.html

Area 51

HOMEPAGE
Area 51 สถานที่นี้คืออะไรกันแน่ ?
Area 51 เป็นสถานที่ทางการทหารของสหรัฐตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในทะเลทรายของมลรัฐเนวาด้า (Nevada) มันเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นความลับสุดยอดของทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาผู้ที่จะสามารถเดินทางไปยัง Area 51 ได้จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น (และระดับสูงที่ว่านั้น แม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ไม่อาจร้องเรียกเอาข้อมูลหรือเข้าเยี่ยมชมได้แม้ใจนึกอยาก)
หลายๆ คนเชื่อกันว่าที่แห่งนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความลับทางการทหาร เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งปริศนาที่ยากจะหาคำตอบนั้นก็คือมนุษย์ต่างดาว ล้วนแล้วแต่เป็นความลับที่ดำมืดมาโดยตลอด จากความลับดำมืดที่อยู่ใน Area 51 เริ่มมีหลายๆ ฝ่ายสงสัยกันมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วนั้นในพื้นที่นี้มันมีอะไรอยู่กันแน่ถึงขนาดที่เรียกได้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกายังต้องซ่อนฐานทัพนี้เอาไว้จากสายตาของคนธรรมดาๆ ทั่วไปที่อยากรู้อยากเห็น
มีความเชื่อกันว่าสถานที่ดังกล่าวนั้นมีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ Rosswell ที่ยานอวกาศลึกลับได้ตกลงมา โดยหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และไม่ประสงค์จะออกนามได้ออกมาเปิดเผยให้กบทางสื่อที่นำเสนอในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวว่า ในอดีตเมื่อนานมาแล้วได้มีวัตถุจานบินลึกลับบินมาตกในบริเวณดังกล่าว (สถานที่ๆ เป็น Area 51 ในปัจจุบัน) ก่อนที่ชายชุดดำจะเข้ามาเคลียพื้นที่และข่มขู่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเป็นการปิดปาก ผู้ที่ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์ยังเล่าต่ออีกว่า เขาได้เห็นร่างสีเทาที่ไม่น่าจะใช่มนุษย์โลกนอนอยู่บนพื้นด้วยกันถึง 3 ศพด้วยกัน
เรื่องของผู้ที่ไม่ประสงค์นามคนนี้ตรงกับเรื่องเล่าของ บ๊อบ ลาซาร์ (Bob Lazar) ชาวลาสเวกัส ที่อ้างเอาไว้ว่าเคยทำงานอยู่ในพื้นที่นี้ในช่วงปี 1988 – 1989 ได้ออกมาเปิดเผยว่าใน Area 51 นั้นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเขายังได้เห็นวัตถุสิ่งบินลึกลับขนาดใหญ่ ซึ่งเขาสามารถบอกได้ในทันทีว่ามันคือจานบินอย่างแน่นอน นอกจากนี้พื้นที่ๆ ใช้เก็บจานบินปริศนายังถูกสร้างให้กลมกลืนกับทะเลทรายเพื่อป้องกันการสอดแนมจากเครื่องบินสอดแนมภายนอกอีกด้วย

ความเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่บนโลก

มีหลายๆ คนที่เชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงบนโลกโดยมีผู้ที่ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวโดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลว่าแท้จริงแล้วนั้นมนุษย์ต่างดาวปะปนอยู่บนโลกของเรามานานถึง 80 ปี โดยที่มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ที่ค้นพบพวกเขาแต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ที่ติดต่อเรามาเอง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยพวกเขาก็มีหน้าตาเหมือนกับคนปกติๆ ทั่วๆ ไป จนสามารถพรางตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน
คำพูดจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้มีโอกาสเป็นจริงได้มากน้อยขนาดไหนเราเองก็ไม่อาจทราบได้ เพราะในขณะนี้เรื่องราวดังกล่าวยังคงเป็นความลับดำมืดที่ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปปกปิดไม่ให้คนธรรมดาได้รู้
reference : https://www.catdumb.com/few-facts-about-area51-290/




























วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Santorini

ซานโตรินี ( Santorini, Greece ) เป็น สถานที่ท่องเที่ยว ในวันสุดฮอต ของนักเดินทางทั่วโลก เนื่องจากมีทัศนียภาพที่งดงาม และมีบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตก ที่สวยตะลึง ที่สำคัญ ซานโตรินี ยังมีชายหาดแปลกๆ ไม่เหมือนที่อื่น เช่น ชายหาดหินกรวดสีดำ ชายหาดสีแดง (เรดบีช) และชายหาดสีขาว (ไวท์บีช) ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟในสมัยอดีตกาล
Santorini, Greece
สิ่งที่ทำให้ ซานโตรินี (ที่นิยมเรียกกันอีกชื่อว่า ธีรา (Thera)) มีความโดดเด่น จนกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง บนเกาะนี้ก็คือ กลุ่มอาคารสีขาว รูปทรงแปลกตาที่ตั้งลดหลั่นกันตามเชิงเขาสูงชัน และ โบสถ์แสนสวยที่มียอดโดมสีน้ำเงิน ที่สำคัญ ซานโตรินี ยังติด 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดเซ็กซี่ ที่ Travel.mthai เคยเอามานำเสนอไว้ด้วย


blue-dome
โบสถ์แสนสวย ที่มียอดโดมสีน้ำเงิน
กรีซ (อังกฤษ: Greece; กรีก: Ελλάδα, ) หรือ เรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐเฮลเลนิก (อังกฤษ: Hellenic Republic ) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ตอนใต้สุดของคาบสมุทรบอลข่าน มีพรมแดนทางเหนือติดกับ ประเทศบัลแกเรีย มาซิโดเนีย และแอลเบเนีย มีพรมแดนทางตะวันออกติดกับประเทศตุรกี อยู่ติดทะเลอีเจียนทางด้านตะวันออก ติดทะเลไอโอเนียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางด้านตะวันตกและใต้ กรีซนับว่าเป็นแหล่งอารยธรรมตะวันตกอันยิ่งใหญ่ และมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งกรีซได้แผ่อิทธิพลไปยัง 3 ทวีป
Santorini, Greece
Santorini, Greece
ชาวกรีก เรียกประเทศตัวเองว่า Hellas ซึ่งภาษากรีกในปัจจุบันออกเสียง ว่า Ellas โดยในการพูดทั่วไปจะใช้คำว่า Ellada และมักจะเรียกตัวเองว่า Hellenes แม้กระทั่งในภาษาอังกฤษ ซึ่งคำภาษาอังกฤษ “Greece” มาจากชื่อละตินว่า Graecia หมายถึงพื้นที่ทางเหนือของกรีซในปัจจุบัน ซึ่งมีกลุ่มคนที่เรียกว่า Graikos อาศัยอยู่ / ข้อมูลจาก wiki.pedia ประเทศกรีซ
oia1
พระอาทิตย์ตกดิน ที่หมู่บ้าน เอีย
กิจกรรมที่ได้รับความนิยมอีกอย่างก็คือ เมื่อมาเยือ ซานโตรินี คือ การไปชมพระอาทิตย์ตก ที่ บ้าน เอีย (Oia or Ia) ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์มากที่สุด บนเกาะซานโตรินี นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ยังสามารถเดินทางไปยังหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน รวมไปถึงการไปเดินเล่นชมความงดงามของชายหาด โบสถ์ และจุดท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
Santorini, Greece
Cafe in Oia, Santorini, Greece
รูปภาพสวยๆ ของ ซานโตรินี กรีซ
Santorini, Greece
ดอกเฟื่องฟ้า สีชมพูสดใส ที่ ซานโตรินี
Church in Santorini, Greece
Church in Santorini, Greece
Colorful-Villas
กำแพงสีน้ำเงินของที่พัก ทำให้ ซานโตรินี มีเสน่ห์สวยงาม
Oia, Santorini, Greece
Oia, Santorini, Greece
Blue door in Oia.
Blue door in Oia.
มาดูภาพ ซานโตรินี แบบ ภาพวาดกันค่ะ
santorini-art-1
ยอดโบสถ์สีน้ำเงิน ความงามอันโดดเด่น
santorini-art-2
ทะเลสีคราม แสงแดดสดใส ที่ ซานโตรินี
santorini-art-3
สีสันดอกไม้สวยๆ ที่ ซานโตรินี
santorini-art-4

FRIENDSHIP


Contact
FB : Bank Kasidit
Tel : 0957795163