วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

The Great Pyramid of Giza

HOMEPAGE
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ The Great Pyramid of Giza
พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
___________________________________________________________________________________________

วิธีการสร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า

วิธีการยกแท่งหินขนาดใหญ่หนักหลายสิบตัน เพื่อประกอบขึ้นเป็นพีระมิดอย่างแม่นยำยังเป็นปริศนา โครงสร้างเหนือห้องเก็บโลงพระศพ ในพีระมิดคีออปส์ ประกอบขึ้นด้วย แท่งหินแกรนิตสีแดงขนาดใหญ่หลายสิบแท่งซ้อนทับกัน 5 ชั้น แต่ละแท่งมีน้ำหนัก 50 ถึง 70 เมตริกตัน แท่งหินขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในหมู่พีระมิดกิซ่าอยู่ภายในวิหารข้างพีระมิดเมนคีเรเป็นแท่งหินปูนที่มีน้ำหนักมากถึง 200 เมตริกตัน เป็นน้ำหนักประมาณเท่ากับชิ้นส่วนหนักที่สุดภายในเรือไททานิค ซึ่งไม่มีปั้นจั่นใดๆ ในอู่ต่อเรือขณะนั้นสามารถยกได้ จนผู้สร้างเรือต้องว่าจ้างทีมงาน ชาวเยอรมัน มาสร้างปั้นจั่นยักษ์สำหรับยกชิ้นส่วนดังกล่าว
เฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งเดินทางไปอียิปต์ช่วง 450 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2 พันปีเศษหลังจากพีระมิดสร้างเสร็จ ได้บันทึกคำบอกเล่าของนักบวชชาวอียิปต์โบราณไว้ว่า ในการสร้างพีระมิดชาวอียิปต์โบราณมีอุปกรณ์บางอย่างทำด้วยไม้ใช้สำหรับยกหินขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่พบหลักฐานอื่นๆ ที่อ้างอิงถึงเครื่องมือนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือบันทึกโบราณ เฮโรโดตัสยังได้บันทึกไว้ว่าการก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ทำเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลากซึ่งประชากรว่างจากการเพาะปลูก นั่นคือ ประมาณปีละ 3 – 4 เดือน และก่อสร้างอยู่ 20 ปี จึงแล้วเสร็จ
เนื่องจากเทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่นไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน และไม่มีหลักฐานการใช้พาหนะที่ลากด้วยแรงสัตว์ การเคลื่อนย้ายหินจึงใช้แรงงานคนลากเข็นไปบนแคร่ไม้ โดยมีการราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน การเคลื่อนย้ายวัตถุน้ำหนักมากๆ ด้วยวิธีนี้มีหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำบนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อย
วิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการก่อสร้างคืออีกส่วนหนึ่งที่เป็นปริศนา แนวคิดแรกเริ่มเชื่อกันว่าชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีสร้างทางลาดบริเวณด้านข้างของพีระมิด และชักลากหินขึ้นตามทางลาดที่ก่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของระดับการก่อสร้างจนถึงจุดสูงสุดยอด และเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจึงทำการรื้อทางลาดดังกล่าวออกคงเหลือไว้แต่ พีระมิด ที่สร้างเสร็จ ถ้าแนวคิดนี้เป็นจริงสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นอาจไม่ใช่พีระมิดคูฟู แต่อาจเป็นทางลาดสูงเท่าตึก 40 ชั้นที่ใช้ก่อสร้างพีระมิดแทน มีแนวคิดอื่นๆ เสนอว่าทางลาดดังกล่าวอาจไม่ได้สร้างอยู่ด้านใดด้านหนึ่งข้างพีระมิด แต่อาจสร้างเป็นทางวนรอบพีระมิดแทน หรืออาจบางทีแต่ละชั้นของพีระมิดนั่นเองคือทางที่ใช้ชักลากหินขึ้นสู่ชั้นถัดไป ผ่านทางลาดขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างแต่ละชั้น
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปถึงวิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้าง แต่การประกอบหินแต่ละก้อนสามารถสรุปได้ว่าผ่านการตัดแต่งแบบก้อนต่อก้อน เนื่องจากแต่ละก้อนต้องมีขนาดและแง่มุมพอดีกับหินก้อนอื่นๆที่จัดเรียงไว้ก่อนหน้า เพราะในการก่อสร้างพีระมิดไม่มีการใช้วัสดุเชื่อมประสาน หินแต่ละก้อนวางซ้อนกันอยู่ได้ด้วยน้ำหนักกดทับด้านบน และระนาบที่เท่ากันในแต่ละชั้นจึงต้องตัดแต่งอย่างปราณีตแบบก้อนต่อก้อนก่อนประกอบเข้าสู่ตำแหน่ง
ด้วยเครื่องมือง่ายๆ อย่างไม้วัดระดับแนวราบ และสายดิ่งที่ใช้ตรวจสอบผิวหน้าหินในแนวตั้ง โดยใช้ลิ่มหินควอตซ์ (Quartz) ซึ่งเป็นหินอัคนีความแข็งสูงในการขัดแต่งผิวหน้าของหินแต่ละด้านให้เรียบ ช่างหินอียิปต์โบราณสามารถสร้างผลงานดีเยี่ยม จนผิวสัมผัสระหว่างหินแต่ละก้อนห่างกันเพียง 0.02 นิ้วเท่านั้น
ควรทราบอีกว่า ณ เวลานั้นโลกยังไม่เข้าสู่ ยุคเหล็ก โดยที่เทคโนโลยีการตีเหล็กยังไม่ถูกพัฒนาขึ้นจนกว่าอีก 1 พันปีต่อมา เครื่องมือโลหะที่มีใช้ในสมัยนั้นทำด้วย ทองแดง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการตัดหินปูนและหินแกรนิตให้ได้ขนาดและรูปทรงตามต้องการ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยียุคโบราณเชื่อว่า ช่างอียิปต์โบราณใช้ แท่งโลหะพันด้วยเชือก เพื่อหมุนปั่นแท่งโลหะเจาะรูลึกในก้อนหินโดยมีการโรยผงทรายลงในรูที่เจาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือ
___________________________________________________________________________________________

นิยามของมหาพีระมิดแห่งเมืองกิช่า

เคยมีการกล่าวเอาไว้ว่าการสร้างพีระมิดแห่งเมืองอียิปต์นั้นอาจจะไม่ใช่ ฝีมือของมนุษย์ในสมัยของอียิปต์โบราณ แต่อาจจะเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติส ที่ได้สร้างเอาไว้ (ดูจากบทความ “แอตแลนติส“) ทำให้มีหลายแนวความคิดที่แสดงให้เห็นว่าปิรามิดได้ถูกสร้างขึ้นโดยมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโลก ดังจะเห็นได้จากคำนิยามของคำว่า “ปิรามิด” จากนักปราชญ์หลายท่าน เช่น อาร์คิเมดิส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกได้ให้นิยามของ “ปิรามิด” ดังนี้
ผลรวมระยะทั้ง 4 ด้านของฐานหารด้วย 2 เท่าความสูง = 3.1416 (ค่าไพ = 3.14159 26535 89793 23846 26433 83279 50288 41971 69399 37510)ค่าการวัดเป็นนิ้ว (Pyramidal Inch) สามารถคำนวณออกมาเป็นขนาดใกล้เคียงกับขนาดของโลกเช่น 50 นิ้วปิรามิด = 1 ใน 10 ล้านของแกนขั้วโลกผลรวมของด้านฐาน = จำนวนวันใน 1 ปี ซึ่งก็คือ 365.240สองเท่าของความสูงปิรามิด เมื่อคูณด้วย 10 ล้าน = ความยาวระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยประมาณ1 นิ้วปิรามิด คูณด้วย 10 ล้าน = ค่าใกล้เคียงกับระยะทางของวงจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ค่าแตกต่างเพียงเล็กน้อย อธิบายได้ว่าความกว้างวงโคจรตอนที่สร้างกับตอนนี้แตกต่างกัน)น้ำหนักของปิรามิดประมาณ 6 แสนตัน คูณด้วย 100,000,000,000,000 = น้ำหนักของโลกโดยประมาณ
reference : https://7thingspacial.wordpress.com/7%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84/1-%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B2/

Colosseum

HOMEPAGE
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ colosseum
โคลอสเซียม(Colosseum) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงโรมประเทศอิตาลี เป็นสนามกีฬากลางแจ้งโบราณขนาดใหญ่ยักษ์ ใจกลางเมือง ที่นอกจากจะเคยเป็นสนามประลองอันทรงเกียรติที่โหดเหี้ยมแล้ว  ยังได้รับการคัดเลือกจากองค์กร New 7 Wonders ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย
สนามกีฬาโบราณขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซี่ยนแห่งจักวรรดิโรมัน  และได้สร้างแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดิไททัสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือราวๆ ปี ค.ศ. 80 โดยมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมที่ก่อด้วยอิฐและหินทรายที่มีเส้นรอบวงประมาณ 527 เมตร สูงประมาณ 57 เมตร และสามารถบรรจุคนได้มากถึงประมาณ 50,000 คนเลยทีเดียว
สำหรับการออกแบบ Colosseum แห่งนี้นั้นจัดได้ว่าได้รับการออกแบบที่ชาญฉลาดมาก  โดยได้มีการออกแบบให้ผู้ชมได้รู้สึดใกล้ชิดกับนักกีฬาด้วยการออกแบบในส่วนของสนามกีฬาให้เป็นรูปครึ่งวงกลม  นอกจากนั้นยังมีการออกแบบทางระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันน้ำขังในสนามหากเกิดฝนตกอันเป็นต้นแบบของการออกแบบสนามกีฬาอื่นๆ ในปัจจุบันอีกด้วย
Colosseum นี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรมในปัจจุบันแล้ว ในอดีตก็จัดได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยโรมันเลยทีเดียว โดยเริ่มแรกนั้นวัตถุประสงค์สำหรับการใช้งานคือสร้างขึ้นสำหรับการประลองฝีมือของเหล่ากลาดิเอเตอร์ หรือการประลองของกษัตริย์ใหม่ที่ต้องการแสดงฝีมือและอำนาจ  รวมไปถึงการที่รักโทษที่รอวันประหารชีวิตหรือนักโทษที่ถูกคุมขังขอประลองเพื่อแลกกับอิสรภาพ โดยการประลองนั้นก็มีทั้งประลองกับกลาดิเอเตอร์ผู้แข็งแกร่ง จนไปถึงการประลองกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายต่างๆ ซึ่งช่วงหนึ่งที่การประลองเป็นที่นิยมของผู้เข้าชมจนทำให้สัตว์บางชนิดจากหลายๆ ประเทศเกือบสูญพันธ์กันเลยที่เดียว โดยการประลองนั้นผู้ชนะนอกจากจะได้รับอิสรภาพแล้วยังได้รับชื่อเสียงและทรัพย์สินมากมายตามมาอีกด้วย  และผลจากการขอประลองเพื่อเรียกร้องอิสระภาพนั้นจึงได้ลามไปถึงการเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาประลองเพื่อยกระดับฐานะด้วย เป็นการประลองที่จะชี้ชะตาชีวิตว่าหากเอาชนะได้ก็เหมือนได้พลิกชีวิตให้มั่งคั่งและมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ถ้าแพ้นั่นอาจหมายถึงการไม่มีชีวิตรอดกันเลยทีเดียว  เนื่องจากเคยเป็นสนามประลองมาก่อน Colosseum แห่งนี้จึงมีบริเวณใต้ดินที่มีห้องคุมขังนักโทษหลายร้อยห้องและยังมีกรงสำหรับใช้ขังสัตว์ป่าดุร้ายที่ไว้ใช้สำหรับการประลองการต่อสู้หลายร้อยกรงที่บริเวณชั้นใต้ดินอีกด้วย
แม้ว่าในอดีตนั้น โคลอสเซียมแห่งนี้จะถูกใช้เป็นสนามประลองมือ เป็นสังเวียนเลือดที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม ไปจนถึงลานประหารชีวิตแต่ในปัจจุบันนั้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านโทษประหารชีวิต โดย Colosseum จะมีไฟสีเหลืองส่องสว่างทุกครั้งเมื่อมีการกลับการตัดสินหรือยกเลิกโทษประหารชีวิตจากที่ใดของโลกก็ตาม และในปี 2007 จากผลของการลงคะแนนทั่วโลกจากทั้งทางอินเตอร์เน็ตและมือถือนั้น ทำให้ Colosseum แห่งนี้ได้รับการคัดเลือกจากองค์กร New 7 Wonders ให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย
Reference : https://travel.mthai.com/world-travel/64882.html

Area 51

HOMEPAGE
Area 51 สถานที่นี้คืออะไรกันแน่ ?
Area 51 เป็นสถานที่ทางการทหารของสหรัฐตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในทะเลทรายของมลรัฐเนวาด้า (Nevada) มันเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นความลับสุดยอดของทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาผู้ที่จะสามารถเดินทางไปยัง Area 51 ได้จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น (และระดับสูงที่ว่านั้น แม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ไม่อาจร้องเรียกเอาข้อมูลหรือเข้าเยี่ยมชมได้แม้ใจนึกอยาก)
หลายๆ คนเชื่อกันว่าที่แห่งนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความลับทางการทหาร เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งปริศนาที่ยากจะหาคำตอบนั้นก็คือมนุษย์ต่างดาว ล้วนแล้วแต่เป็นความลับที่ดำมืดมาโดยตลอด จากความลับดำมืดที่อยู่ใน Area 51 เริ่มมีหลายๆ ฝ่ายสงสัยกันมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วนั้นในพื้นที่นี้มันมีอะไรอยู่กันแน่ถึงขนาดที่เรียกได้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกายังต้องซ่อนฐานทัพนี้เอาไว้จากสายตาของคนธรรมดาๆ ทั่วไปที่อยากรู้อยากเห็น
มีความเชื่อกันว่าสถานที่ดังกล่าวนั้นมีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ Rosswell ที่ยานอวกาศลึกลับได้ตกลงมา โดยหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และไม่ประสงค์จะออกนามได้ออกมาเปิดเผยให้กบทางสื่อที่นำเสนอในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวว่า ในอดีตเมื่อนานมาแล้วได้มีวัตถุจานบินลึกลับบินมาตกในบริเวณดังกล่าว (สถานที่ๆ เป็น Area 51 ในปัจจุบัน) ก่อนที่ชายชุดดำจะเข้ามาเคลียพื้นที่และข่มขู่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเป็นการปิดปาก ผู้ที่ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์ยังเล่าต่ออีกว่า เขาได้เห็นร่างสีเทาที่ไม่น่าจะใช่มนุษย์โลกนอนอยู่บนพื้นด้วยกันถึง 3 ศพด้วยกัน
เรื่องของผู้ที่ไม่ประสงค์นามคนนี้ตรงกับเรื่องเล่าของ บ๊อบ ลาซาร์ (Bob Lazar) ชาวลาสเวกัส ที่อ้างเอาไว้ว่าเคยทำงานอยู่ในพื้นที่นี้ในช่วงปี 1988 – 1989 ได้ออกมาเปิดเผยว่าใน Area 51 นั้นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเขายังได้เห็นวัตถุสิ่งบินลึกลับขนาดใหญ่ ซึ่งเขาสามารถบอกได้ในทันทีว่ามันคือจานบินอย่างแน่นอน นอกจากนี้พื้นที่ๆ ใช้เก็บจานบินปริศนายังถูกสร้างให้กลมกลืนกับทะเลทรายเพื่อป้องกันการสอดแนมจากเครื่องบินสอดแนมภายนอกอีกด้วย

ความเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่บนโลก

มีหลายๆ คนที่เชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงบนโลกโดยมีผู้ที่ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวโดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลว่าแท้จริงแล้วนั้นมนุษย์ต่างดาวปะปนอยู่บนโลกของเรามานานถึง 80 ปี โดยที่มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ที่ค้นพบพวกเขาแต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ที่ติดต่อเรามาเอง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยพวกเขาก็มีหน้าตาเหมือนกับคนปกติๆ ทั่วๆ ไป จนสามารถพรางตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน
คำพูดจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนี้มีโอกาสเป็นจริงได้มากน้อยขนาดไหนเราเองก็ไม่อาจทราบได้ เพราะในขณะนี้เรื่องราวดังกล่าวยังคงเป็นความลับดำมืดที่ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปปกปิดไม่ให้คนธรรมดาได้รู้
reference : https://www.catdumb.com/few-facts-about-area51-290/